กาแฟไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) ทางเลือกใหม่ของคอกาแฟ
หากนึกถึงปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค “กาแฟ” เครื่องดื่มรีเฟรชร่างกายสร้างความสดชื่น น่าจะเป็นคำตอบของปัจจัยที่ 5 ที่อยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนส่วนมากในยุคปัจจุบันไปเรียบร้อยแล้ว เครื่องดื่มที่ช่วยให้เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเช้าวันใหม่แก้วโปรดที่หลาย ๆ คน ขาดเสียไม่ได้ ซึ่งร่างกายคนเราปกติควรได้รับคาเฟอีนต่อวันไม่เกิน 300 มิลลิกรัม โดยที่กาแฟหนึ่งแก้ว จะมีคาเฟอีนเป็นปริมาณพื้นฐานอยู่ที่ 150 มิลลิกรัมต่อแก้ว (ปริมาณคาเฟอีนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเมนูกาแฟที่สั่ง) เท่ากับวันหนึ่งคุณจะดื่มด่ำเมนูโปรดของคุณได้เพียง 1 – 2 แก้วเท่านั้น กาแฟไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) จึงเข้ามาเป็นทางเลือกที่แก้ไขปัญหานี้ได้ดีที่สุด
กาแฟไม่มีคาเฟอีน (Decaf Coffee) คืออะไร
กาแฟดีแคฟ (Decaf Coffee) กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน หรือมีปริมาณคาเฟอีนน้อย เพียง 0 – 3 % ต่อกาแฟหนึ่งถ้วย ด้วยวิธีล้างด้วยตัวทำละลาย เพื่อเอาคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟ โดยคาเฟอีนจะถูกชะล้างออกไปได้มากถึง 97 % ขึ้นไป เมื่อจิบดื่มกาแฟเข้าไปจะให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนดื่มกาแฟ แต่จะมีสัมผัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แตกต่างออกไปบ้าง ซึ่งถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็แทบจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เลย การดื่มกาแฟ Decaf ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับการดื่มเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 0 เปอร์เซ็นต์ ให้รสชาติคงเดิม ขาดเพียงรสสัมผัสแห่งอรรถรสบางอย่าง แต่ก็แลกมาด้วยสุขภาพที่ดีขึ้น
ไม่น่าเชื่อว่า Decaf Coffee เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 200 ปี แต่เพิ่งมาได้รับความนิยมจนนำมาผลิตเป็นสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายครั้งแรกในปี 1906 โดย Kaffe Hag แบรนด์จากเยอรมนีผู้นำเทรนด์ที่นำมาจัดจำหน่ายเป็นเจ้าแรก และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบตะวันตก ซึ่งสมัยนั้นภาพลักษณ์ของกาแฟดีแคฟถูกสร้างให้เป็นสินค้าระดับพรีเมียม ช่วยยกระดับผู้ที่ดื่มด่ำให้ดูหรูหรามีฐานะ และดูมีรสนิยม โดยชื่อเต็ม ๆ ของ กาแฟ Decaf คือ Decaffeinated Coffee ซึ่งหมายถึง กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนนั่นเอง
ความแตกต่างของกาแฟที่มีคาเฟอีนกับกาแฟไม่มีคาเฟอีน
นอกจากปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายจะได้รับต่างกันแล้ว โดยลดลงกว่าการดื่มกาแฟปกติถึง 97 % ในเรื่องคุณลักษณะภายนอก รสชาติและกลิ่น อาจแตกต่างจากกาแฟที่มีคาเฟอีนเพียงเล็กน้อย กลิ่นและรสชาติของกาแฟ (Flavors) ยังคงมีให้ได้ดื่มด่ำ เพียงแค่ Body กาแฟ อาจจะลดทอนลงไปสักหน่อย เมล็ดกาแฟมีสีที่จางลง รสชาติเบาลง กลิ่นหอมน้อยลงเล็กน้อย แต่กระนั้นหากคุณไม่ใช่คอกาแฟที่ต้องการสัมผัสถึงความเข้มข้นถึงใจ Flavors ที่เบาลงนี้อาจทำให้คุณดื่มด่ำได้เพลิดเพลินขึ้น ในปริมาณที่มากขึ้นได้ตามต้องการ และที่สำคัญดีต่อสุขภาพมากกว่าการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย
ข้อดีของกาแฟที่มีคาเฟอีน
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองตื่นตัว ปลอดโปร่ง พร้อมรับการทำงานในวันใหม่ได้ดีขึ้น
- ลดทอนความง่วงที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างวัน แถมยังช่วยให้ร่างกายคลายความอ่อนล้าจากการอดนอนในค่ำคืนอันหนักหน่วง
- ช่วยให้ร่างกายมีสมาธิในการทำงานระหว่างวันได้ดี
- ปรับความสมดุลของอารมณ์ ลดภาวะซึมเศร้า
- กระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญได้ดี
- มีผลงานวิจัยยืนยันว่าการบริโภคกาแฟไม่เกินวันละ 3 แก้ว หรือในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด ซึ่งส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวลดลง
- คาเฟอีน มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นส่วนประกอบสำคัญ หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยชะลอการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง และโรคเบาหวานได้
ข้อดีของกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน
- มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับกาแฟที่มีคาเฟอีน ประโยชน์ในการบริโภคจึงไม่ได้ลดหายตามปริมาณคาเฟอีนแต่อย่างใด ยังคงช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคบางชนิด อาทิ โรคพาร์กินสัน โครนิ่วในถุงน้ำดี โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน
- มีสารอาหารที่ช่วยให้ผิวสุขภาพดี สวยงามเปล่งปลั่ง
- ร่างกายได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแมกนีเซียม โพแทสเซียม และไนอาซินหรือวิตามินบี 3
- ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคตับและโรคกรดไหลย้อน ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ในการบริโภคกาแฟมีคาเฟอีนปกติ
- ดีสำหรับผู้ที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีน ลดอาการใจสั่น ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และสามารถดื่มได้หลายแก้วโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอาหารเหล่านี้ตามมา
กาแฟทั้ง 2 ประเภทเหมาะสำหรับใคร
กาแฟที่มีคาเฟอีน เหมาะสำหรับใครบ้าง ?
เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการสร้างความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ต้องการตัวช่วยที่จะทำให้สมองปลอดโปร่ง ให้ร่างกายพร้อมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเด็กหรือผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ด้วยสรรพคุณบางอย่างอาจก่อให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้ อาทิ นอนไม่หลับ ใจสั่น ความดันโลหิตสูงขึ้น ขาดสมาธิ พูดไม่รู้เรื่อง พูดเร็วและรัว จากการที่ร่างกายถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน เหมาะสำหรับใครบ้าง ?
ผู้ที่มีโรคประจำตัว
เพราะคาเฟอีนอาจทำให้อาการของโรคบางโรคกำเริบและรุนแรงขึ้นได้ อาทิ โรคนอนไม่หลับ ปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน กรดไหลย้อน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง และแผลในกระเพาะอาหาร
ผู้ที่ใช้ยารักษาโรค
คาเฟอีนทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด จึงอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคทางระบบประสาท กลุ่มยาปฏิชีวนะ และกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เด็กและสตรีมีตั้งครรภ์
หากจำเป็นต้องดื่มกาแฟ หรือมีความต้องการที่จะดื่มจริง ๆ ควรเลือกดื่มกาแฟดีแคฟ เพื่อจำกัดปริมาณคาเฟอีนไม่ให้ส่งผลในทางลบต่อร่างกายได้
NESCAFÉ® Dolce Gusto® Cold Brew กาแฟจำกัดคาเฟอีนที่ดีต่อร่างกายไม่แพ้ Decaf
นอกจากกาแฟ Decaf แล้ว ยังมีกาแฟไม่มีคาเฟอีนอีกประเภทที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่ากันเลย นั่นก็คือ กาแฟชิกโครี กาแฟสไตล์นิวออร์ลีนส์ ที่นำเอาสมุนไพรชิกโครีส่วนรากมาคั่ว โดยจะได้รสและกลิ่นคล้ายกาแฟ แต่ดีต่อสุขภาพมากกว่าตรงที่ไม่มีคาเฟอีนเจือปนอยู่เลย ซึ่งหากคุณอยากดื่มกาแฟในสัดส่วนที่มีคาเฟอีนน้อยกว่าปกติ โดยที่ยังได้ดื่มด่ำรสสัมผัสของกาแฟครบถ้วน และทำได้สะดวกรวดเร็วในบ้านของคุณเอง เราขอแนะนำ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ โคลด์บริว NESCAFÉ® Dolce Gusto® Cold Brew กาแฟสกัดเย็นที่มีส่วนผสมของชิกโกรีคั่วถึง 21 % และเมล็ดกาแฟ 79 % ช่วยลดทอนความเข้มของกาแฟไปประมาณหนึ่ง อีกทั้งวิธีการชงแบบสกัดเย็น (Cold Brew) จะทำให้ปริมาณคาเฟอีนและความเป็นกรดน้อยกว่ากาแฟแบบร้อนทั่วไป จึงทำให้กรดในกาแฟละลายออกมาน้อย ดีต่อกระเพาะและดื่มแล้วรู้สึกสบายท้องได้มากกว่า
ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกกรรมกาแฟที่เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ภูมิใจนำเสนอ และตั้งใจพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟคุณภาพเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่นักดื่มกาแฟทุกคน ถึงแม้ว่าเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ โคลด์บริว จะไม่ใช่กาแฟไม่มีคาเฟอีนเฉกเช่น Decaf แต่ก็ดีต่อสุขภาพ และจำกัดปริมาณคาเฟอีนให้น้อยลงได้ ทำให้คุณสามารถดื่มได้อย่างเพลิดเพลินในปริมาณที่เพิ่มขึ้นได้ตามที่ต้องการ